วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

แพะเมืองผี...ที่ไม่ได้มีทั้งผีและแพะ


วนอุทยานแพะเมืองผี

ภาพจาก : สำนักงานจังหวัดแพร่

      แพะเมืองผี จังหวัดแพร่  เกิดจากสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นดิน และหินทรายถูกกัดเซาะตามธรรมชาติเป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ แพะแปลว่า ป่าละเมาะ เมืองผีแปลว่า เงียบเหงา ได้มีการประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2524 มีเนื้อที่ 167 ไร่ เป็นสถานที่มีความสวยงามด้าน ธรณีวิทยา หน้าผา เสาดิน และเส้นทางศึกษาธรรมชาติวนอุทยานแพะเมืองผี จัดทำเส้นทางศึกษา ธรรมชาติไว้บริการนักเรียน นักศึกษา และนักท่องเที่ยวทั่วไป ได้เข้ามาศึกษาสภาพป่า ลักษณะทางธรณีวิทยา เพื่อเป็นการส่งเสริม ให้เกิดความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพพื้นที่วนอุทยานมากยิ่งขึ้น

ภาพจาก : paiduaykan

           วนอุทยานแพะเมืองผี เมื่อครั้งในอดีตกาลนานมาแล้ว ชาวบ้านขนานนามว่า เป็น “แพะเมืองผี ” ไม่มีผู้ใดทราบ ประวัติเป็นที่ แน่นอน แต่ได้เล่าสืบทอดกันมาว่า แต่ก่อนบริเวณป่าแห่งนี้ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธ์ไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่นและสัตว์ป่า น้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ในสมัยนั้นมีครูบาปัญโญ ฯ เป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำชำ ตำบลน้ำชำ ซึ่งชาวบ้านได้พร้อมใจกันนิมนต์มาเป็น เจ้า-อาวาสองค์แรก ของวัดน้ำชำและได้บอกเล่าประวัติแพะเมืองผีสืบทอดติดต่อกันมาว่า มีหญิงชราคนหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ ย่าสุ่ม ” เข้าไปหาผัก หน่อไม้ เป็นอาหาร แต่หลงป่าแล้วไปพบหลุมเงิน ทองคำ จึงได้นำเงิน และทองคำ ใส่ถุงแล้วเตรียมหาบ จะกลับบ้าน เสร็จแล้วเกิดหลงป่าอีก โดยไม่สามารถนำเอาหาบเงิน ทองคำ ออกมาได้ ย่าสุ่มจึงวางหาบจะกลับบ้านเสร็จแล้วเกิด หลงป่าอีก โดยไม่สามารถนำเอาหาบเงิน ทองคำออกมาได้ ย่าสุ่มจึงวางหาบแล้วหาไม้มาคาดเป็นราว (ราวไม้) ต่อมาออกจากป่าจน ถึงบ้านและ เดินกลับไปราวไม้ที่คาดไว้เป็นแนวทางไว้ ซึ่งปัจจุบันเป็นร่องทางน้ำพบเห็นได้ เป็นแนวออกไปทางบ้านน้ำชำ ทิศตะวัน ออกของ แพะเมืองผี ย่าสุ่ม จึงได้ชักชวนชาวบ้านให้เข้าไปด้วยปรากฏว่า ชาวบ้านก็ได้ติดตามย่าสุ่มเข้าไปถึงจุดที่ ย่าสุ่มวางหาบไว้แต่ ไม่พบเงินและทองคำ ในหาบแต่อย่าใด ไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร ชาวบ้านจึงขนานนามสถานที่นั้นว่า “ แพะย่าสุ่มคาดราว ” และได้ช่วยกันค้นหา พบรอยเท้าคนเดินและชาวบ้านได้เดินตามรอยเท้าเหล่านั้นไปจนกระทั่งมาถึงพื้นที่ซึ่งชาวบ้าน ขนานนามว่า “ แพะเมืองผี ” ภาษาพื้นเมืองทางภาคเหนือคำว่า “แพะ ” ในที่นี้หมายถึงป่าแพะนั่นเอง ส่วนคำว่าเมืองผีก็เป็นชื่อ ที่ชาวบ้านเรียก กันสืบมาในสมัยดึกดำบรรพ์ โดยอาจจะเห็นว่าป่าแพะตรงนี้มีลักษณะพิศดาลของภูมิประเทศ และเพราะความเร้นลับตามเรื่องราว ที่เชื่อถือเล่าสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็อาจเป็นได้

เปิดบริการทุกวัน ติดต่อสอบถาม โทร. 0-5462-6770

ประวัติความเป็นมา



                                                     
อำมื จัวัร่

                 


เพิ่มคำอธิบายภาพ

                          จังหวัดแพร่ เป็นจังหวัดหนึ่งในกลุ่มล้านนา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มีทิวทัศน์สวยงาม ก่อเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งน้ำตก ถ้ำ น้ำพุร้อน แหล่งน้ำอุทยานแห่งชาติและวนอุทยานที่มีพืชพันธุ์ไม้ที่แปลกตา แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ นอกจากนี้แพร่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ศาสน สถาน กำแพงเมืองโบราณที่ยังคงมีความสมบูรณ์ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในภาคเหนือ และแหล่งท่องเที่ยวประเภท ประเพณี วัฒนธรรมรวมทั้งศิลปหัตถกรรมที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาสัมผัสได้อย่างประทับใจ
                         ในอดีตการเข้าออกนอกเมืองแพร่ต้องผ่านประตูเมืองซึ่งมีมาแต่เดิม 4 ประตู คือ ประตูชัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง ประตูศรีชุม อยู่ตรงข้ามกับประตูชัย ติดวัดศรีชุมเป็นประตูสำหรับเดินทางเข้าเมืองของบรรดาเจ้าเมือง หรือการออกรบ ประตูยั้งม้า หรือประตูเลี้ยงม้าเป็นประตูเล็ก ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง เดิมเรียกว่าประตู (หัว)เวียง อาจจะเอาคำว่าหัวไปไว้กับหัวข่วงก็ได้ “ยั้ง” ภาษาเหนือ แปลว่า เลิก หรือหยุด เมื่อใครเดินทางเข้าเมืองต้องนำม้าไปผูกไว้รอบ ๆ บริเวณนี้ให้ม้ากินหญ้า จึงมีคอกม้าและเกือบม้าหลงเหลือให้เห็นกันรวมทั้งมีร้านรับทำเกือกม้าและซ่อม เกือก ม้า ด้วย ประตูมาร (แม่ มาน,หญิง มี ครรภ์,มาร,พญามาร,มัจจุราช)อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง เป็นประตูออกไปสุสาน ป่าช้า สมัยก่อนเป็นสานประหารนักโทษ พ.ศ. 2483 ถูกเปลี่ยนให้เป็นฌาปนสถาน ต่อมาเมืองแพร่เจริญขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียง เหนือใกล้กับประตูยั้งม้า โดยเรียกว่า ประตูใหม่ สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2482 เป็นเส้นทางเชื่อม ระหว่างตัวเมืองแพร่กับถนนยันตรกิจโกศล สำหรับกำแพงอิฐบริเวณประตูใหม่ที่เห็นปัจจุบันนั้น สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2523 โดย เทศบาลเมืองแพร่กำแพงเมืองว่า “เมฆ” ซึ่งกำแพงเมืองโบราณของจังหวัดแพร่นับได้ว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองโบราณในภาคเหนือของประเทศไทยและคูเมืองด้านประตูใหม่ โดยจำลองแบบจากประตูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นประตูเมืองแพร่เพียงด้านเดียวที่มีกำแพงอิฐอยู่สองข้างคู่ประตูเมือง

บ้านวงศ์บุรี...สีชมพูดูสดใส


บ้านวงศ์บุรี

ภาพจาก : phraeobserver

              ตั้งอยู่เลขที่ 50 ถนนคำลือ (ถนนหลังจวนผู้ว่าฯสี่แยกพระนอนเหนือ) ใกล้วัดพงศ์สุนันสร้างเมื่อ พ.ศ. 2450 โดยเจ้าพรหม (หลวงพงษ์พิบูลย์) และเจ้าสุนันตาวงศ์บุรี ธิดาเจ้าบุรี (พระยาบุรีรัตน์) ช่างที่สร้างบ้านหลังนี้มาจากเมืองกวางตุ้ง ประเทศจีน และใช้ช่างไม้พื้นถิ่นเป็นบ้านไม้สักสองชั้นแบบยุโรปประยุกต์ ฐานเป็นอิฐและซีเมนต์สูงจากพื้น 1 เมตร หลังคาสองชั้น มีช่องระบายลมระหว่างชั้นที่สองเพื่อเพิ่มการไหลเวียนขิงอากาศ เนื่องจากบ้านหันหน้าเข้าทางทิศตะวนตกเฉียงใต้จึงมีลมพัดเย็นในฤดูร้อน บ้านทรงปั้นหยา 2 ชั้น เพดานสูงหลังคาสูง จุดเด่นของอาคารคือ ลวดลายไม้แกะสลักที่หน้าจั่ว ชายคา ระเบียงช่องลม ชายน้ำหน้าต่าง และประตูที่ประตูด้านหน้าเป็นปูนปั้นรูปแพะ ซึ่งเป็นตัวแทนของหลวงพงษ์พิบูลย์และแม่เจ้าสุนันทา ซึ่งเกิดในปีแพะ ต่อมาได้มีการซ่อมแซมแต่ลวดลายแกะสลักยังคงเป็นของเดิมภายในบ้านตกแต่งด้วยสิ่งของเครื่องใช้เก่าแก่ของตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุได้แก่ เครื่องเรือน เครื่องเงิน เครื่องปั้นดินเผา เอกสารที่สำคัญ เช่น เอกสารการซื้อขายทาส เอกสารการซื้อขายเพชร

ภาพจาก : phraeobserver
บ้านวงศ์บุรีได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น ปี 2536 ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์บ้านวงศ์บุรีเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องและตีพิมพ์ในหนังสือต่าง ๆ 
เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. 
อัตราค่าเข้าชมชาวไทยและชาวต่างประเทศคนละ 30 บาท

นอกจากนี้บ้านวงศ์บุรีได้จัดกิจกรรมเสริมคือ การจัดขันโตก สำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่มาเป็นคณะ โดยติดต่อล่วงหน้าได้ที่บ้านวงศ์บุรี โทร.0 5462 0153

วัดพระธาตุช่อแฮ...แลดูงามตา


วัพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง


ภาพจาก : เที่ยวผ่านเลนส์

           วัดพระธาตุช่อแฮ เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ เก่าแก่ คู่บ้าน คู่เมืองจังหวัดแพร่และเป็นวัดพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีขาล บุคคลใดที่มา เที่ยวจังหวัดแพร่แล้วจะต้องมานมัสการพระธาตุช่อแฮ เพื่อเป็นศิริมงคลกับตนเอง จนมีคำกล่าวว่า ถ้ามาเที่ยวจังหวัดแพร่ แต่ไม่ได้มา นมัสการพระธาตุช่อแฮเหมือนไม่ได้มาจังหวัดแพร่ เป็นวัดที่ตั้งอยู่เนินเขาเตี้ยสูงประมาณ 28 เมตร องค์พระธาตุช่อแฮเป็นเจดีย์ ศิลปะเชียงแสน แบบแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองบุด้วยทองดอกบวบหรือทองจังโก องค์พระธาตุสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร ลักษณะองค์พระธาตุตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานแปดเหลี่ยม3 ชั้นรองรับ ถัดไปเป็น ฐานบัวคว่ำ และชุดท้องไม้แปดเหลี่ยมซ้อนลดชั้นกันขึ้นไป 7 ชั้น จากนั้นเป็นบัวระฆัง 1 ชั้น และหน้ากระดานหนึ่งชั้นจนถึงองค์ระฆัง แปดเหลี่ยม ถัดขึ้นไปเป็นบัลลังค์ย่อมุมไม้สิบสองและปล้องไฉน ส่วนยอดฉัตรประดับตกแต่งด้วยเครื่องบนแบบล้านนามี รั้วเหล็ก รอบองค์พระธาตุ 4 ทิศ มีประตูเข้าออก 4 ประตู แต่ละประตูได้สร้างซุ้มแบบปราสาทล้านนาไว้อย่างสวยงาม

ภาพจาก : วัดพระธาตุช่อแฮ


           ทุกปีจะมีประเพณีการไหว้พระธาตุช่อแฮเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน เดิมจะจัด 5 วัน 5 คืน ได้เปลี่ยนแปลงเป็น 7 วัน 7 คืน วันแรกของงาน จะเริ่มขึ้นในวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6เหนือ เดือน 4 ไต้ของทุกปีซึ่งถือว่าการจัดงานไหว้พระธาตุช่อแฮ ยึดถือตามจันทรคติ เป็นหลัก ประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่ แห่ตุงหลวง ในการจัดงานมีขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ประกอบ ไปด้วยริ้วขบวนของ ทุกอำเภอ การฟ้อนรำ ขบวนช้างเจ้าหลวง และเครื่องบรรณาการ ขบวนแห่กังสดาลขบวนแห่หมากเป็ง ขบวนต้นผึ้ง ขบวนแห่ผ้าห่ม องค์พระธาตุ 12 ราศี ซึ่งประกอบด้วยขบวนตุง 12 ราศรี ขบวนข้าวตอกดอกไม้ ต้นหมาก ต้นผึ้ง ต้นดอก ขบวนแห่ผ้าห่มองค์พระธาตุ 12 ราศรี ขบวนกังสดาล ขบวนตุงขบวนฟ้อนรำมีการเทศน์และมีการเทศน์และฟังเทศน์มหาชาติ มหาเวสสันดรชาดก ทั้งกลางวันและ กลางคืน สำหรับกลางคืนมีมหรสพสมโภชตลอดงาน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0-5459-9209 

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

คุ้มเจ้าหลวง...ควงกันมาถ่ายรูปได้น้า~



คุ้จ้หลมืร่

 ภาพจาก :  review.tourismthailand.or

             คุ้มเจ้าหลวง ตั้งอยู่ที่ในเขตกำแพงเมืองเก่าแพร่ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ คุ้มแห่งนี้เป็นอาคารโอ่โถง มีประตู หน้าต่างทั้งหมด 72 บาน งดงามด้วยลวดลายฉลุไม้อยู่ด้านบนปั้นลม และชายคาน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังขิง ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น หลังคามุงด้วยไม้เรียกว่า ไม้แป้นเกล็ด” ไม่มีหน้าจั่วเป็นแบบหลังคาเรือนปั้นหยามีมุขสี่เหลี่ยมยื่นออกมา ด้านหน้าของตัวอาคารหลังคามุขมีรูปทรงสามเหลี่ยมทั้งปั้นลมและ ชายคาน้ำรอบตัวอาคารประดับด้วยไม้แกะ ฉลุสลักลวดลายอย่าง สวยงามซึ่งเป็นฝีช่างชาวจีนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น

 ภาพจาก :  review.tourismthailand.org


          คุุุ้มเจ้าหลวงแห่งนี้เคยใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า-พระบรมราชินีนาถเมื่อคราวที่เสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎรจังหวัดแพร่ในระหว่างวันที่15 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2501และได้รับพระราชทาน รางวัล จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีให้เป็นสถาปัตยกรรมดีเด่นประเภท อาคารสถาบันและสาธารณะ ซึ่งภายในก็จะมีแท่นบรรทมของพระองค์รวมอยู่ด้านใน
 ภาพจาก :  review.tourismthailand.org


   ภายใต้ตัวอาคารซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร มีห้องสำหรับคุมขัง ข้าทาส บริวาร ซึ่งกระทำความผิด จำนวน 3 ห้อง ห้องกลาง เป็นห้องทึบ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปไม่ได้เลย ใช้เป็นที่คุมขังข้าทาสบริวารที่กระทำความผิดร้ายแรง ส่วนอีก 2 ห้อง ปีกซ้ายและปีกขวา มีช่องแสงให้แสงสว่างเข้าไปได้บ้าง ใช้เป็นที่คุมขังผู้มีความผิดชั้นลหุโทษ เป็นเวลายาวนานกว่า 50 ปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ประกาศเลิกทาส คุกทาสจึงกลายมาเป็นที่คุมขังนักโทษทั่ว ๆ ไปของเจ้าหลวงหรือข้าหลวง ในสมัยต่อ ๆ มา ต่อมามีการสร้างเรือนจำเมืองแพร่ขึ้นใหม่ คุกแห่งนี้จึงว่างลง หลงเหลือไว้เพียงตำนาน สำหรับการเข้าชมในคุกใต้ดินนั้น เขามีเคล็ดอยู่ว่า อย่าเดินหน้าหันหน้าเข้าคุกแต่ให้เดินถอยหลังเข้าคุกแทนส่วนตอนออกก็เดินหน้าออกมาอย่าหันหลังไปมองคุก เพราะอาจจะทำให้ต้องโทษเข้าคุกในอนาคตได้ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ด้านในมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในสมัยนั้นๆให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม คุ้มเจ้าหลวงถือเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งเรือนเก่าในเมืองแพร่ที่ไม่ควรพลาดแวะมาเที่ยวชม

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานคุ้มเจ้าหลวง โทร. 0-5452-4158

เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 8.30 - 17.00 น.